Momiji Gari ปั่นจักรยานดูใบไม้แดที่ญี่ปุ่น

ปั่นจักรยานเที่ยวที่ญี่ปุ่น

ขี่จักรยานเที่ยว ดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น
โอซาก้า - เกียวโต - นารา

เราเคยไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นในฤดูใบไม้ผลิเพื่อชมดอกซากุระในเส้นทางฮิโรชิมา - โอโนมิจิ - ชิมานามิไคโดและหนำใจกันไปแล้วกับซากุระสวยๆแน่นๆไปแล้ว (แบบที่เป็นของเราโดยที่ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน) ในครั้งนี้ เราจึงตั้งใจว่าจะต้องไปดูใบไม้แดง หรือใบเมเปิ้ลญี่ปุ่นเปลี่ยนสีในช่วงสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤษจิกายนให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ต่างมุ่งหน้าไปยังเกียวโตเพื่อการนี้ ทริปนี้จึงต้องมีการจองล่วงหน้าถึงหกเดือน

Home / Blog / ขี่จักรยานเที่ยว ดูใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น
Last updated: Thursday 30th of August 2018

ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เราเลือกที่จะใช้จักรยานปั่นเที่ยวและเดินทางข้ามเมือง โดยเลือกใช้จักรยานโตเกียวไบค์คันเก่ง ที่สามารถนำมาแปลงปั่นแบบทัวริ่งเบาๆ (light touring) เข้ากับบรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสีและการค่อยๆขี่ค่อยๆดูไปเรื่อยๆ เราติดอุปกรณ์เท่าที่จำเป็นต่างๆ เช่น ตะแกรงหลังและกระเป๋าสัมภาระแบบพาดตะแกรงหลัง (pannier) เพิ่มจากอุปกรณ์จักรยานมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยอย่างไฟหน้า/หลัง กริ่ง และอุปกรณ์เสริมที่แนะนำสำหรับระยะทางไกลก็น่าจะมีขากระติกน้ำเท่านั้น

เมื่อเราจะไปกันแค่สองคน อยากได้อารมณ์ปั่นจักรยานทัวร์ริ่งจริงๆแบบไม่พึ่งรถเซอร์วิส ก็ต้องวางแผนกันละเอียดหน่อยแถมต้องยอมลำบากแบกสัมภาระเองด้วย เพราะหากใช้บริการแมวดำคาบลูกให้ส่งกระเป๋าไปรอตามเมืองต่างๆแล้ว เราก็คงจะไม่ได้ประสบการณ์ทัวร์ริ่งที่แท้ทรู แผนการปั่นของเราจึงออกมาหน้าตาแบบนี้


เส้นทางขี่จักรยาน osaka-kyoto-nara เส้นทางขี่จักรยาน osaka-kyoto-nara

วันแรก: กรุงเทพ - โอซาก้า

เดินทางจากกรุงเทพไปโอซาก้า ด้วยเที่ยวบิน TG 623 ของบริษัทการบินไทย (ป้าเอื้องให้โหลดกระเป๋าจักรยานเป็นสัมภาระฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย) นั่งรถไฟ Rapi:t จากสนามบิน KIX ไปนัมบะ - เข้าที่พัก/ประกอบจักรยาน

กระเป๋าใส่จักรยาน โหลดขึ้นรถไฟจากสนามบิน Kansai ไป Namba กระเป๋าใส่จักรยาน ใส่จักรยานจากกรุงเทพขึ้นเครื่องบิน และโหลดขึ้นรถไฟจากสนามบิน Kansai ไป Namba

วันที่ 2: กิน เที่ยว ช้อปในโอซาก้า

ที่สำคัญคือต้องหาซื้อ Rinko bag ซึ่งเป็นกระเป๋าพับได้เหลือเล็กจิ๋ว ความจริงเรียกว่าถุงผ้าคลุมจักรยานน่าจะถูกกว่า เพราะในวันที่จะขึ้นรถไฟจากนารากลับโอซาก้าต้องใช้ใส่จักรยานเพื่อขึ้นรถไฟ ส่วนกระเป๋าจักรยานที่เราใช้โหลดขึ้นเครื่องมานั้นจะมีขนาดใหญ่ไป ไม่สามารถพกติดไปด้วยขณะทัวร์ริ่ง
กระเป๋า ringo bag ที่ว่ามีขายที่ mont.bell และ Y’s Road (เส้นทางจากนารา - โอซาก้า เป็นทางขึ้นลงเขาชันมาก ใครอยากจะปั่นก็ไม่ว่ากัน แต่ “ฉันไม่รักเขา” จึงขอนั่งรถไฟสบายๆดีกว่า)

ถึงแล้วต้องมา จุดถ่ายรูปยอดนิยม มุมเช็คอินมหาชน

วันที่ 3: ปั่นโอซาก้า ไป เกียวโต

จัดเสื้อผ้าสำหรับ 3-4 วันใส่กระเป๋า pannier แบบพาดตะแกรงหลังจักรยาน เอากระเป๋าใหญ่และกระเป๋าจักรยานไปฝากไว้ที่ล็อคเกอร์สถานีรถไฟนัมบะ (ค่าล็อคเกอร์ 1,000 เยนต่อวัน) แล้วปั่นจากโอซาก้าไปเกียวโต ระยะทาง 58 กม. นับจากที่พัก

จักรยาน tokyobike ติด rack ก็นำมาใช้งานแบบ light touring ได้ จักรยาน tokyobike ติด rack ก็นำมาใช้งานแบบ light touring ได้

วันที่ 4: ปั่นเที่ยวเกียวโต ดูใบไม้เปลี่ยนสี

ปั่นจากเกียวโตไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อาราชิยามา ซึ่งระยะทางจริงแค่ 10 กม. ต่อเที่ยวเท่านั้น และช่วงเย็นปั่นขึ้นเขาไปชมวิวเมืองเกียวโตและเทศกาล light-up ของวัดคิโยมิสึเดระ หรือวัดน้ำใสที่คนไทยรู้จักกันดี

วันที่ 5: ปั่นจากเกียวโตไปนารา

ระยะทาง 53 กม. นับจากที่พัก

วันที่ 6: ปั่นเที่ยวนารา และนั่งรถไฟกลับโอซาก้า

ปั่นเที่ยวเล่นชมใบไม้เปลี่ยนสีและชมกวางในนาราปาร์ค ช่วงเย็นนั่งรถไฟจากนารา - โอซาก้า โดยแพ็คจักรยาน (ถอดล้อเดียว)แล้วคลุมด้วย ringo bag ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที กลับถึงโอซาก้า เช็คอินที่โรงแรมและไปเอากระเป๋าใหญ่จากล็อคเกอร์สถานีรถไฟนัมบะ แพ็คจักรยานเตรียมเดินทางกลับ

วันที่ 7: เก็บตกกิน ช้อปในโอซาก้า

เดินทางกลับไทยด้วยเที่ยวบิน TG 673 ถึงกรุงเทพฯช่วงดึกๆ


ซึ่งถ้าดูจากแผนการเดินทางแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ประกอบกับเส้นทางเป็นถนนอย่างดี(และทางราบ)เสียส่วนใหญ่ การใช้จักรยานอย่าง จักรยานซิตี้ไบค์ล้อขนาด 26” มาแปลงเป็นจักรยานทัวร์ริ่งเพื่อปั่นท่องเที่ยวระหว่างเมืองต่างๆจึงเหมาะอย่างยิ่งเพราะเป็นจักรยานที่มีท่วงท่าในการปั่นที่สบายไม่ต้องก้มหลัง อีกทั้งน้ำหนักและความรู้สึกเมื่อปั่นก็เบาสบาย การแบกสัมภาระเพียง 10 กิโลก็ทำได้ง่ายด้วยการติดตะแกรงหลังและพาดกระเป๋า pannier

ในส่วนของการเตรียมตัวนั้น เนื่องจากช่วงเดือนพฤศจิกายนอากาศค่อนข้างหนาว ที่ญี่ปุ่นอุณหภูมิจะอยู่ที่ 3 - 8 องศาเซลเซียส จึงควรเตรียมเครื่องกันหนาวไปให้พร้อมเพราะเมื่อปั่นจักรยานหน้าและมือจะต้องประทะลมมากเป็นพิเศษ หมวกและถุงมือไหมพรมจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ (แต่ถ้าลืมจริงๆทุกร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นก็มีขาย) นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นยังมีความไม่แน่นอนของฝนฟ้า เสื้อกันฝนที่ใส่ปั่นจักรยานได้ก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน

ถุงมือไหมพรมแบบมีที่ครอบสองชั่น สิ่งจำเป็นคือถุงมือไหมพรมแบบมีที่ครอบสองชั้น

วันแรกของ touring

ตอนแรกที่ได้ยินว่าเส้นทางจักรยานจากโอซาก้าไปเกียวโตเป็นทางราบเลาะแม่น้ำ ระยะทางประมาณ 58 กิโลเมตรก็คิดว่าไม่หนักใจอะไร ปั่นไปเรื่อยๆอย่างมาก 3-4 ชั่วโมงก็น่าจะถึง แต่เอาเข้าจริงๆก็มีอุปสรรคเล็กน้อย อุปสรรคที่ว่าก็คือ ฝนตกตั้งแต่เช้า ซึ่งก็เราก็เตรียมรับมือไว้แล้วด้วยผ้าคลุมกระเป๋ากันน้ำเพราะสัมภาระเราจะเปียกไม่ได้เลย ส่วนคนปั่นนั้นก็ใส่ทั้งเสื้อและกางเกงกันฝน อาจจะมีเปียกนิดหน่อยแต่ชินแล้วเพราะเจอฝนประจำ (ชุดกันฝนแบบเสื้อและกางเกงมีขายตามร้านสะดวกซื้อ ในราคาประมาณ 1,200 เยน)

ทางจักรยานนั้นเป็นทางราบก็จริง แต่สิ่งที่ไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจอก็คือราวเหล็กกั้นมอเตอร์ไซค์ที่มีจำนวนเยอะมาก ซึ่งถ้าเป็นจักรยานทั่วไปจะสามารถขี่ผ่านที่กั้นนี้ได้ แต่เมื่อเรามีสัมภาระหนักประมาณสิบกิโลติดไปกับจักรยานด้วยก็ทำให้เราต้องขึ้นๆลงๆจากรถบ่อยครั้ง (ด้วยความ“อ้วน”ของกระเป๋า pannier) เพื่อยกจักรยานข้ามที่กั้นนี้

เมื่อเจอทั้งฝนและทางที่ไม่ต่อเนื่อง จากที่คิดว่าน่าจะทำความเร็วเฉลี่ย 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็กลายเป็นเหลือแค่ 12 กม./ชม. สรุปว่า ออกจากโอซาก้า 11 โมง กว่าจะถึงเกียวโตจริงๆก็หนึ่งทุ่ม มีแวะแค่ร้านสะดวกซื้อเพื่อกินข้าวกลางวันและแวะอีก 2-3 ครั้งเพื่อเข้าห้องน้ำและซื้อน้ำดื่มเท่านั้น จังหวะที่ใกล้จะถึงเกียวโตแล้วเห็นรถไฟชินคังเซนผ่านไปอย่างเร็วก็จะมีความรู้สึกว่า อีกอึดใจเดียวใช่ไหม (แล้วตกลงเราคิดถูกหรือคิดผิดนี่)

ย่านกิอง ที่เกียวโต จะมีสาวๆใส่ยูกาตะมาเดินเล่ ย่านกิอง ที่เกียวโต จะมีสาวๆใส่ยูกาตะมาเดินเล่น

ความที่ทั้งเหนื่อยและหนาว เมื่อเช็คอินเข้าที่โฮสเทลและปลดสัมภาระออกจากตะแกรงหลังแล้ว เราก็รู้สึกว่าร่างกายต้องการอาหารมื้อใหญ่เพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไปจึงชวนกันปั่นไปย่านกิองเพื่อหาสุกี้/ชาบูร้อนๆกิน ซึ่งต้องบอกว่า ความจริงการเดินทางในเกียวโตสะดวกที่สุดเมื่อมีจักรยานเพราะเป็นเมืองที่ไม่สามารถขยายตัวได้อีกแล้วไม่ว่าจะเรื่องเส้นทางถนนหรือระบบขนส่งสาธารณะอะไร จะเห็นได้ว่ารถเมล์แน่นขนัดทุกคัน รถไฟใต้ดินก็ไม่สะดวกนัก รถก็ติดเอาเรื่อง เราจึงรู้สึกสนุกและคล่องตัวมากเมื่อมีพาหนะคู่ใจของเรามาด้วย โฮสเทลของเรา*ก็เป็นมิตรกับจักรยานมากเพราะมีที่ให้แขวนหรือจอดอยู่ด้านหน้าเลย

หน้าโฮสเทลที่พักที่เกียวโต - Len Kyoto Kawaramachi หน้าโฮสเทลที่พักที่เกียวโต - Len Kyoto Kawaramachi

หลังจากวันแรกผ่านพ้นไป คราวนี้เจออุปสรรคทางธรรมชาติอีกครั้ง เมื่ออุณหภูมิหนาวเย็นกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากที่มีเสื้อ/กางเกง HEATTECH ที่ใส่ชั้นในเป็นระดับ extra warm ก็เอาไม่อยู่ โชคดีที่ร้าน UNIQLO มีอยู่ทั่วไปจึงได้แวะซื้อใหม่เป็นรุ่น ultra warm

ปั่นวันที่ 2

ปั่นมาดูเมเปิ้ลแดงแต่เช้าที่ อาราชิยาม่า ปั่นมาดูเมเปิ้ลแดงแต่เช้าที่ อาราชิยาม่า

การเดินทางไปอาราชิยามาด้วยจักรยานถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เลยทีเดียว หลายคนอาจคิดว่า ทำไมไม่นั่งรถไฟสายโรแมนติก หรือทำไมไม่นั่งบัสไปสบายๆ คำตอบคือ นี่คือช่วงพีคของการดูไบไม้เปลี่ยนสี การปั่นจักรยานไปจะให้ความคล่องตัวที่สุดและสามารถซ่อกแซ่กไปได้หลายที่ที่รถเข้าไปไม่ถึงหรือไกลเกินกว่าที่จะเดินไหว ระยะทางจริงจากเกียวโตไปอาราชิยามานั้นเพียง 10 กม.เท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ไกลเลย และยิ่งไปถึงแล้วเห็นรถติดยาวเป็นหางว่าวจะยิ่งรู้สึกว่า เที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ล่ะ ไม่ซ้ำใครและไม่ต้องหงุดหงิดกับรถติดเลยด้วย จุดไหนที่คนแน่นมากๆอาจต้องมีการลงเดินจูงจักรยานบ้างด้วยความเกรงใจ แต่ในจังหวะที่ไม่ค่อยมีคนเราก็ไปได้ในจุดต่างๆที่คนส่วนใหญ่เดินเข้าไปไม่ถึง ถ้าเป็นสายถ่ายรูปคงจะชอบใจมากเพราะจะได้รูปสวยๆกับไบไม้แดงโดยที่ไม่มีใครติดมาเป็น background หรือถ้าเห็นต้นไหนสวยเป็นพิเศษก็ถ่ายรูปไปเลยให้หนำใจโดยไม่มีใครมากดดันต่อคิว

ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงพีค ที่แดงทั้งต้น ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงพีค ที่แดงทั้งต้น
ในขณะที่คนอื่นนั่งเรือชมใบไม้ เราขี่จักรยาน ในขณะที่คนอื่นนั่งเรือชมใบไม้ เราขี่จักรยาน
บริเวณทางเลียบแม่น้ำที่ผู้คนบางตา บริเวณทางเลียบแม่น้ำที่ผู้คนบางตา

สิ่งที่อุ่นใจทุกครั้งเมื่อไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นก็คือ เราสามารถล็อคจักรยานพร้อมแขวนหมวกกันน็อคไว้ได้โดยไม่ต้องวิตกจนเกินไปเรื่องจะถูกขโมย เราไม่ได้บอกว่าญี่ปุ่นปลอดภัย 100% แต่คงต้องยอมรับว่าปลอดภัยกว่าบ้านเราแน่นอน เพราะฉะนั้น เราจึงเดินชมสวน ถ่ายรูปเล่น และดื่มด่ำบรรยากาศในฤดูใบไม้ร่วงอย่างเต็มที่ มารู้ตัวอีกที ก็เห็นว่าพระอาทิตย์เริ่มจะคล้อยต่ำลงแล้วซึ่งเมื่อแสงเริ่มหมดเราก็ถ่ายรูปกันลำบากขึ้น จึงได้คิดว่า แค่นี้ก็คุ้มมากแล้วสำหรับใบไม้แดงในอาราชิยามาในแบบ unseen จริงๆเพราะได้ปั่นจักรยานคู่ใจมา จากนั้นเราก็พากันปั่นกลับเกียวโตแบบสบายๆ ไม่มีรถติด ไม่เบียดเสียดกับผู้คน มีแต่อากาศหนาวเย็นของกลางเดือนพฤศจิกายนที่ปะทะหน้าเรา

*Len Kyoto Kawaramachi ห้องส่วนตัว พักคู่ ราคาประมาณ 9,000 เยนต่อคืน (ห้องน้ำ/ห้องอาบน้ำรวม)

"การปั่นจักรยาน tokyobike คู่ใจไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อาราชิยามา ถือว่าเป็นความฟินระดับพีคมาก ไหนจะอากาศหนาวเย็นสมใจ ไหนจะได้เห็นใบไม้แดงพรึ่บไปทุกหนแห่ง"

ปั่นวันที่ 3

สำหรับการเดินทางในช่วงต่อไป จะเป็นเส้นทางเกียวโต-นารา ซึ่งระยะทางประมาณ 53 กม. ส่วนใหญ่เป็นทางราบเช่นกัน ช่วง 20 กม.แรก ลมต้านแรงมาก ถ้าใครเคยไปปั่นสกายเลนคงจะนึกออกว่าการปั่นทวนลมนั้นยากอย่างไร นี่พวกเรามีสัมภาระอีกคนละ 10 กิโล จึงทำให้ขาแทบจะหมดแรงตั้งแต่ช่วงต้นๆทาง (เพราะฉะนั้น ถ้าใครอบากปั่นตัวปลิวสบายๆ แนะนำให้ใช้บริการแมวดำคาบลูกไปส่งสัมภาระที่เมืองปลายทางจะดีกว่า)

เส้นทางระหว่างเกียวโตไปนารา เส้นทางระหว่างเกียวโตไปนารา

ทางจักรยานระหว่างเกียวโต - นารานั้น ไม่มีที่กั้นมอเตอร์ไซค์เหมือนเส้นทางโอซาก้า - เกียวโต แต่ความที่ต้องผ่านเรือกสวนไร่นาของชาวบ้านจึงทำเป็นคันดินยกสูงประมาณ 3 เมตร มีทางลาดให้ขึ้น/ลงได้เป็นระยะ ข้อดีคือ ทางเป็นซีเมนต์อย่างดี ปั่นง่าย นอกจากนี้ยังเห็นทัศนียภาพไปสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อทางจักรยานอยู่ในที่โล่งขนาดนั้น จะรู้สึกว่าลมแรงเป็นพิเศษ และในภูมิประเทศที่เป็นที่ราบมองเห็นเทือกเขาอยู่ไกลลิบๆ จะมีบางจังหวะที่แอบคิดว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที

หยุดแวะร้านสะดวกซื้อเติมพลังระหว่างทาง หยุดแวะร้านสะดวกซื้อเติมพลังระหว่างทาง

ช่วงหลังของเส้นทางฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาทำให้เราต้องหยิบเสื้อและกางเกงกันฝนมาใส่อีกครั้ง พอไม่มีแดดอากาศก็เย็นขึ้นจับใจ มือชาไปหมดขนาดเราใส่ถุงมือไหมพรมสำหรับปั่นจักรยานก็ยังไม่พอ ส่วนการแวะกินข้าว เติมพลัง และเข้าห้องน้ำในเส้นทางนี้จะยากสักหน่อยเพราะทางจักรยานแทบจะไม่ผ่านเมืองเลย จะมีบ้างก็เมืองเล็กๆ ซึ่งหมายความว่าต้องออกไปจากทางปั่นก่อนแล้วกลับเข้ามา ดูจากแผนที่แล้วค่อนข้างเสียเวลาจึงต้องยอมทนหิวบ้างเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หากใครอยากไปปั่นเส้นนี้แนะนำให้ติดเสบียงไปเยอะๆเลยเพราะหากหวังว่าจะพึ่งร้านสะดวกซื้อระหว่างทางนี่แทบไม่มี ส่วนเรา เมื่อเจอแฟมิลี่มาร์ทนี่ดีใจแทบตายและโอเด้งที่กินในวันเหน็บหนาวมื้อนั้นเหมือนอร่อยที่สุดในชีวิตเลย

แน่นอนว่าเมื่อถึงนาราตอนค่ำในสภาพเหนื่อยอ่อนเราก็ให้รางวัลตัวเองอย่างงาม ตอนปั่นจากโรงแรมไปร้านเนื้อย่าง ต่างคนต่างซิ่งจนลืมความเหนื่อยไปเลย โรงแรมที่นารานั้นเราเลือกให้อยู่ใกล้สถานีรถไฟที่สุดเพื่อความสะดวกในวันกลับ แต่ที่จอดจักรยานเราต้องไปใช้บริการลานจอดแบบเสียเงินซึ่งก็ราคาไม่กี่ร้อยเยนและสามารถจอดได้ข้ามคืน

วันสุดท้ายปั่นชมสวนสบายๆ

ในวันต่อมามีแดดอ่อนๆเหมาะนักกับการดูไบไม้แดง ไฮไลท์ของนาราคือ นาราปาร์ค ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไปไม่ถึงหนึ่งกิโล ไหนๆมีจักรยานแล้วก็ต้องปั่นไปเที่ยวสักหน่อยซึ่งนอกจากต้องระวังรถ ผู้คนและยังต้องระวังกวาง ด้วย กวางที่นาราปาร์คแม้จะเชื่องก็ยังเป็นสัตว์ป่า จะมีป้ายเตือนนักท่องเที่ยวอยู่ตามจุดต่างๆว่าห้ามทำอะไรบ้างเพราะถ้ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไปรบกวนกวางมากเกินไปมันอาจจะทำร้ายเราได้ (ตอนนั้นก็ได้แต่หวังว่ากวางคงจะไม่มาวิ่งไล่จักรยาน) ไบไม้เปลี่ยนสีที่นาราก็สวยงามไม่แพ้กับที่อาราชิยามาเลยและที่นี่ยังมีกวางอีกมากมายอีกด้วย แต่การพยายามจะถ่ายรูปกวาง จักรยานและต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่นพร้อมกันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะยากเหลือเกินที่กวางจะให้ความร่วมมือ

นาราปาร์ค ขี่จักรยานรอบๆ นาราปาร์ค

เราเที่ยวชมนารากันจนบ่ายแก่ๆกับสองล้อคู่ใจของเรา และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับเข้าเมืองเสียที ซึ่งเราได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ปั่นจากนาราเข้าโอซาก้าเนื่องจากเส้นทางเป็นเขาลาดชัน เราจึงมานั่งแพ็คจักรยานใส่ถุง Rinko Bag ที่ซื้อมา ใบแรกเป็นของ Tioga ส่วนอีกใบเป็นของ Montbell ซึ่งราคาไม่ได้ต่างกันมากและลักษณะการใช้งานก็คล้ายๆกันคือ มีการถอดล้อหน้าเพียงล้อเดียว แต่เราตั้งใจซื้อมาสองยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบกัน ถุงคลุมจักรยานประเภทนี้ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟในญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นได้เฉพาะตู้แรกเท่านั้น และต้องเช็คประเภทรถไฟให้ดีก่อนว่าอนุญาตให้นำจักรยานขึ้นหรือไม่

เมื่อแพ็คจักรยานเสร็จ สะพายขึ้นไหล่ ขึ้นรถไฟ local จากนารากลับเข้าโอซาก้าก็เป็นอันจบช่วงของการปั่นทัวร์ริ่งไว้แต่เพียงเท่านี้ ถ้าใครอยากจะลอง ขอบอกว่าไม่ยากเลย เพียงแค่เตรียมจักรยาน เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และเตรียมใจไปเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆระหว่างทาง

กระเป๋า Rinko bag พับงานเตรียมไว้ใส่จักรยานขึ้นรถไฟ กระเป๋า Rinko bag พับงานเตรียมไว้ใส่จักรยานขึ้นรถไฟ กลับมา Osaka
ทาโกะยากิเจ้าดัง ทาโกะยากิเจ้าดัง

ทำความรู้จักกับจักรยาน โตเกียวไบค์

จักรยาน tokyobike เริ่มต้นขึ้นที่เมืองโตเกียว เป็นจักรยานที่ออกแบบมาให้ใช้งานในเมืองโดยคำนึงถืงความขี่สบายและขี่ง่าย ทัศนวิสัยดี มีดีไซน์ที่สวยเข้ากับการแต่งตัวในชีวิตประจำวัน มีความมินิมอลและ unbranded เลือกใช้อุปกรณ์ที่ดี รับรู้ได้ถึงคุณภาพเวลาขี่

จักรยานรุ่นที่นำมาขี่เที่ยว ทัวริ่งแบบเบาๆนี้ เราเอาจักรยานรุ่น tokyobike 26 มาติดอุปกรณ์ที่สำคัญคือ rack เพื่อใช้แขวนกระเป๋า pannier ใสสัมภาระ นอกนั้นเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งสิ้น รถจักรยานโตเกียวไบค์เป็นจักรยานที่มีช่วงล้อที่ถือว่ายาว ทำให้วิ่งในทางไกลได้ดี ไม่มีปัญหาตลอดการเดินทางแบบ light touring ในครั้งนี้

หากสนใจติดตะแกรงหลังและอุปกรณ์จักรยานอื่น ปรึกษาช่างของ tokyobike ได้ที่ LINE: @tokyobike; Facebook messenger: tokyobike Thailand และโทร. 02-117-1016